วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

โครงสร้างและหลักการทำงานของโปรโตคอล TCP/IP , FTP , HTTP , IP , Client-Server , DNS , SUBNet , Telnet

อธิบายรูปแบบโครงสร้างและหลักการทำงานของโปรโตคอล TCP/IP , FTP , HTTP , IP , Client-Server , DNS , SUBNet , Telnet

อธิบายรูปแบบโครงสร้างและหลักการทำงานของโปรโตคอล TCP/IP        โปรโตคอล TCP/IP มีการจ้ดการกลไกการทำงานเป็นชั้นหรือ Layer เรียงต่อกัน โดยในแต่ละเลเยอร์จะมีการทำงานเทียบได้กับ OSI Model มาตรฐาน แต่บางเลเยอร์ของโปรโตคอล TCP/IP จะทำงานเทียบกับ OSI หลายเลเยอร์ปนกัน ซึ่งในแต่ละเลเยอร์ของโปรโตคอล TPC/IP จะประกอบด้วย




  • Process Layer
  • Host-to-Host Layer
  • Internetwork Layer
  •  โดยเมื่อเทียบกับมาตรฐาน ISO Model แล้วจะเป็นดังรูปด้านล่างซึ่งเราจะเห็นว่าบางกลไกของโปรโตคอล TCP/IP เทียบได้กับมาตรฐาน OSI Model สองชั้น หรือบางกลไกก็จะทำงานคาบเกียวกันระหว่างชั้นของ OSI Model ตัวอย่างเช่น กลไกการทำงานของโปรโตคอล TCP/IP ในส่วน Network Interface Layer และ Physical Layer 2 ชั้นรวมกันเป็นต้น ในแต่ละกลไกของโปรโตคอล TCP/IP จะมีโปรโตคอลอื่นๆในชุดของ TCP/IP ร่วมทำงานอยู่ด้วย ซึ่งจะกล่าวโดยละเอียดต่อไป



    Process layerจากรูปแสดงลำดับชั้นการทำงานของโปรโตตอล TCP/IP เทียบกับมาตรฐาน OSI Model นั้น ในชั้นบนสุดเรียกว่า Process layer ทำงาน 2 หน้าที่เทียบได้กับ Application และ Presentation layer ในชั้นนี้จะรองรับการทำงานของแอพพลิเคชันต่างๆที่ทำงานเป็นโปรเซส แต่อยู่ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์ให้บริการและเครื่องที่ขอใช้บริการ หือไคลเอนต์(client) ซึ่งจะติดต่อกันผ่านโปรโตคอลเฉพาะแอพพลืเคชันอีกทีหนึ่ง ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตต้องการโอนถ่ายไฟล์หรือ download ข้อมูลจากเครืองเซิร์ฟเวอร์ให้บริการ โดยอาจะเรียกใช้โปรแกรม ftp client ทั่วไป เช่น โปรแกรม WS_ftp ติดต่อกับโปรเซส ftp ที่กำลังให้บริการอยู่ที่เครื่องเซิร์ฟเวอร์ จากนั้นตัวโปรเซส ftp ก็จะเรียกใช้โปรโตคอล FTP(File Transfer Protocal) เพื่อทำการโอนถ่ายไฟล์นี้ หรือถ้าผู้ใช้ต้องการเรียกใช้งานคอมพิวเตอร์เครื่องที่อยู่ห่างไกลออกไปด้วย การใช้โปรแกรม Telnet เพื่อติดต่อกัน หรือในกรณีที่มีการเรียกใช้โปรแกรม web browser เพื่อเรียกดูเว็บเพจในเว็บไซต์ ก็จะมีโปรเซส HTTP (HyperText Transfer Protocal) ทำงานอยู่และจะติดต่อกับผู้ใช้ผ่านโปรโตคอล HTTP เป็นต้น

    การทำงานของแอพพลิเคชันต่างๆจะอยู่ที่ Process layer นี้ และมีการติดต่อกันตามแต่ละโปรโตคอลเฉพาะแล้วแต่แอพพลีเคชันที่ใช้งาน จากการที่ Process layer ของ TCP/IP รองรับให้โปรโตคอลอื่นที่ทำงานได้หลายโปรเซสและหลายโปรโตคอลได้พร้อมกันนั้น ทำให้ผู้ใช้สามารถเปิดโปรแกรมใช้งานได้หลายๆอย่างพร้อมกัน เช่น เปิดโปรแกรม internet explorer เพื่อเรียกดูเว็บเพจ พร้อมกับใช้งานโปรแกรม outlook express เพื่อส่งอีเมลล์ไปพร้อมกันได้โดยไม่ต้องรอให้ทำงานอย่างหนึ่งอย่างใดเสร็จ ก่อน หรือในปัจจุบันมีการพัฒนาโปรแกรม Web Browser ทำให้สามารถเรียกใช้งานโปรโตคอลอื่นๆ ได้มากขึ้น ทำให้เราสามารถใช้โปรแกรม web browser โอนถ่ายข้อมูลที่ใช้โปรโตคอล FTP ได้โดยไม่ต้องไปหาโปรแกรมอื่นมาใช้  โปรโตคอลหลักๆที่ทำงานใน Process layer ซึ่งผู้ใช้มักจะคุ้นเคยกันดีได้แก่ FTP (File Transfer Protocol), Telnet, HTTP (HyperText Transfer Protocol) และ SMTP (Simple mail Transfer protocol) นอกจากนี้ยังมีโปรโตคอลอื่นซึ่งทำงานโดยที่ผู้ใช้ไม่สามารถมองเห็นได้จาก โปรแกรมหรือไม่ได้มีการใช้งานโดยตรง เช่น



  • โปรโตคอล DNS (Domain Name System) ทำหน้าที่แปลงข้อมูลชื่อ domain name หรือชื่อเว็บไซต์ทั้งหลายให้เป็น ip address
  • โปรโตคอล SNMP (Simple Netwotk Management Protocol) ใช้ในการควบคุมและตรวจสอบอุปกรณ์ที่อยู่ในเครือข่าย
  • โปรโตคอล DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol) ทำหน้าที่แจกจ่ายข้อมูลพารามิเตอร์ของเครือบ่ายให้กับเครื่องลูกข่ายที่ เชื่อมต่ออยู่


  • Host-to-Host layerผู้ที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตเคยสงสัยหรือไม่ว่าเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการ ต่างๆ เช่น เว็บเซิร์ฟเวอร์นั้น เมื่อมีผู้เข้ามาเรียกใช้บริการพร้อมกันหลายคน จะมีวิธีการส่งข้อมูลกลับไปยังต้นทางได้อย่างไรโดยไม่มีข้อผิดพลาด ซึ่งบางครั้งผู้ใช้รายหนึ่งอาจจะเปิดโปรแกรม web browser ซ้อนกันเพื่ออ่านข้อมูลจากเว็บเพจอื่นพร้อมกันไปได้ ดังนั้นระบบจะทราบได้อย่างไรถึงการการทำงานที่ชั้นของ Host-to-Host layer นี้จะมีบทบาทในการจัดการต่อจาก Process layer บางครั้งเรามักเรียกชั้น Host-to-Host layer ว่าเป็น Transport layer ซึ่งไม่ใช่ชั้นของ Transport layer ในมาตรฐาน OSI Model การทำงานของ Host-to-Host layer นี้จะมีการสร้าง connection หรือการเชื่อมต่อกันระหว่างแอพพลิเคชันกับ Host-to-Host layer โดยที่จุดเชื่อมกันเพื่อรับส่งข้อมูลนี้เรียกว่า port หรือ socket (คำว่า port ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง port ในฮาร์ดแวร์) และในแต่ละแอพพลิเคชันก็จะสร้างการเชื่อมต่อผ่าน port ได้พร้อมกันหลายแอพพลิเคชัน ซึ่งการใช้งาน port ของแต่ละแอพพลิเคชันที่อยู่ในชั้น Process layer จะแตกต่างกันตามหมายเลขที่กำหนดไว้ และแต่ล่ะโปรโตคอลจะมีการใช้งาน port หมายเลขต่างๆ ตามรูปด้านล่างนี้

    เมื่อแอพพลิเคชันทำงานผ่านโปรโตคอลในชั้น Process layer จะมีการส่งผ่านข้อมูลไปยัง Host-to-Host layer ที่ชั้นนี้จะมีการเชื่อมต่อผ่าน port ที่กำหนด ทำให้การรับส่งข้อมูลในแต่ละโปรโตคอลทำได้ถูกต้อง ถึงแม้ว่าในเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการจะมีการทำงานอยู่หลายโปรเซสที่ แตกต่างกันก็ตาม หรือมีผู้ใช้บริการเข้ามาใช้งานพร้อมกันจำนวนมากและหลายแอพพลิเคชันในเวลา เดียวกัน ในชั้น Host-to-Host หรือ Transport layer ของ TCP/IP นี้จะมีโปรโตคอลทำงานอยู่ 2 โปรโตคอลที่แตกต่างกัน คือ โปรโตคอล TCP และโปรโตคอล UDP (User Datagram Protocol) ในการส่งผ่านข้อมูลลงไปที่ชั้นถัดๆไป เราจะเห็นว่าโปรโตคอล TCP และ UDP จะถูกผนึกเข้าไปในโปรโตคอล IP อีกทีหนึ่งและส่งต่อไปยังเครือข่ายอินเตอร์เน็ตต่อไปตัวโปรโตคอล TCP และโปรโตคอล UDP จะมีแอพพลิเคชันเฉพาะเพื่อเรียกใช้งานแยกกันคือ แอพพลิเคชันที่ใช้โปรโตคอล FTP, Telnet, HTTP และ SMTP จะมีการส่งผ่านข้อมูลโดยเรียกใช้โปรโตคอล TCP ส่วนแอพพลิเคชันที่ใช้โปรโตคอล SNMP และ DHCP จะส่งผ่านข้อมูลโดยเรียกใช้โปรโตคอล UDP และสำหรับโปรโตคอล DNS นั้น จะสามารถเรียกใช้ได้ทั้ง TCP และ UDP ดังรูป


    โปรโตคอล TCPโปรโตคอล TCP (Transmission Control Protocol) เป็นโปรโตคอลที่มีการรับส่งข้อมูลแบบ Stream oriented protocol หมายความว่า การรับส่งข้อมูลจะไม่คำนึงถึงปริมาณข้อมูลที่จะส่งไป แต่จะแบ่งข้อมูลเป็นส่วนย่อยๆก่อน แล้วจึงจะส่งไปยังปลายทางอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับข้อมูล ในกรณีที่ข้อมูลส่วนใดส่วนหนึ่งสูญหายไป ก็จะส่งข้อมูลส่วนนั้นใหม่อีกครั้ง สำหรับปลายทางก็จะทำหน้าที่จัดเรียงส่วนของข้อมูล datagram ใหม่ให้ต่อเนื่องและประกอบกับเป็นข้อมูลทั้งหมดได้ ซึ่งจะแยกข้อมูลที่ไม่ถูกต้องออก ดังนั้นแอพพลิเคชันหรือโปรเชสใดที่อาศัยการส่งผ่านข้อมูลด้วยโปรโตคอล TCP จะต้องใช้หน่วยความจำและขนาดช่องสัญญาณ (bandwidth) มากกว่า UDP

    การติดต่อระหว่างกันจะต้องเป็นแบบ Connection-oriented คือต้องมีการสร้างการติดต่อกันเป็น session ทั้ง 2 ด้านเสียก่อน แล้วจึงจะรับส่งข้อมูลไปได้พร้อมกัน(Full Duplex) เหมือนกับการใช้โทรศัพท์ติดต่อกัน เมื่อผู้ติดต่อต้นทางเรียกให้ฝ่ายตรงข้ามรับสายแล้ว จึงเริ่มสนทนา เช่น พูดคำว่า "สวัสดี" หรือ "ฮัลโหล" กันก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าฝ่ายตรงข้ามพร้อมที่จะติดต่อด้วย จากนั้นจึงเริ่มติดต่อกัน และเมื่อต้องการเลิกติดต่อกันก็จะมีการพูดคำว่า "สวัสดี" ให้ฝ่ายตรงข้ามทราบว่าจะเลิกการติดต่อและวางสายไป ซึ่งในระหว่างการติดต่อกันนั้น แม้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองจะเงียบไป คือไม่พูดอะไรเป็นเวลานานๆ แต่การเชื่อมโยงระหว่างทั้งสองด้านยังคงมีอยู่ไม่ขาดจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่าย หนึ่งวางสาย เช่นเดียวกับการติดต่อกันด้วยกลไกลโปรโตคอล TCP เมื่อแอพพลิเคชันต้องการส่งผ่านข้อมูลจะใช้โปรโตคอลที่เหมาะสมในชั้น Process layer ติดต่อไปและมีการสร้างช่องส่งข้อมูลผ่าน port ที่กำหนดเพื่อส่งผ่านข้อมูลไปยังโปรโตคอล TCP

    ในระหว่างการรับส่งข้อมูลนี้ โปรโตคอล TCP จะเพิ่มขบวนการสอบทานข้อมูลเพื่อให้ข้มูลมีความถูกต้องไม่ผิดพลาดไปจากเดิม โดยการส่งสัญญาณสอบทานข้อมูล (acknowledgerment) และส่งข้อมูลให้ใหม่อีกครั้ง ถ้าปลายทางไม่ได้รับหรือเกิดความผิดพลาดขึ้นความน่าเชื่อถือของการส่งผ่านข้อมูลโดยโปรโตคอล TCP จะมีมากกว่า แต่ตั้งอาศัยทรัพยากรของระบบเช่นกัน

    โปรโตคอล UDPใน Host-to-Host layer นอกจากจะมีโปรโตคอล TCP ทำงานแล้ว ยังมีโปรโตคอล UDP (User Datagram Protocol) ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันอยู่ด้วย ในการรับส่งข้อมูลผ่านโปรโตคอล UDP จะเป็นแบบที่ทั้งสองด้านไม่จำเป็นต้องอาศัยการสร้างช่องทางเชื่อมต่อกัน (connectionless) ระหว่างเครื่องเซิร์ฟเวอร์ให้บริการกับเครื่องที่ขอใช้บริการ โดยไม่ต้องแจ้งให้ฝ่ายรับข้อมูลเตรียมข้อมูลเหมือนโปรโตคอล TCP และไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลนั้นๆด้วย เนื่องจากโปรโตคอล UDP ไม่มีสัญญาณสอบทานข้อมูล (acknowledgement) ในการส่งข้อมูลแต่ล่ะครั้งและไม่มีการส่งข้อมูลใหม่อีกในกรณีที่เกิดความผิด พลาดของการส่งข้อมูล เมื่อเป็นเช่นนี้แอพพลิเคชันหรือโปรเซสใดที่ต้องอาศัยโปรโตคอล UDP ในการส่งผ่านข้อมูลก็อาจจะต้องสร้างขบวนการตรวจสอบข้อมูลขึ้นมาเอง

    ตามรูปด้านบนจะเห็นว่าโปรโตคอลชั้นบนขึ้นไป ที่ใช้การส่งผ่านข้อมูลโดยโปรโตคอล UDP เช่น โปรโตคอล SNMP (ใช้ควบคุมและจัดการอุปกรณ์ในเครือข่าย) หรือโปรโตคอล DHCP (ใช้ส่งข้อมูลพารามิเตอร์ของเครือข่ายให้กับเครือข่ายให้กับเครื่องลูกข่าย ได้ใช้งาน) การส่งข้อมูลเหล่านั้นไม่ต้องรับทราบหรือตรวจสอบว่าข้อมูลไปถึงปลายทางหรือ ไม่ แต่กลไกการตรวจสอบข้อมูลที่มีการรับส่งจะไปทำในขั้นตอนของโปรโตคอลชั้นที่ สูงแทน

    ตัวอย่างขั้นตอนกลไกการทำงานโดยใช้โปรโตคอล UDP มีดังนี้1. ในชั้นของ Process layer เมื่อโปรแกรมควบคุมอุปกรณ์เครือข่ายเช่น โปรแกรม Network Management ต้องการส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์ที่ต้องการ แอพพลิเคชันนั้นจะติดต่อผ่านโปรโตคอล SNMP ในชั้น Process layer2. โปรโตคอล SNMP จะติดต่อกับโปรโตคอล UDP ในชั้นถัดไป เพื่อขอติดต่อผ่าน port ที่กำหนด3. โปรโคคอล SNMP เตรียมข้อมูลที่จะส่ง รวมทั้งที่อยู่ปลายทาง4. โปรโตคอล SNMP ส่งผ่านข้อมูลให้โปรโตคอล UDP ที่อยู่ในชั้น Host-to-Host layer5. โปรโตคอล UDP ทำหน้าที่ผนึกข้อมูลหรือ datagram นั้นไปกับโปรโตคอล IP ในชั้นถัดลงไป เพื่อส่งข้อมูลออกจากเครื่อง

    ซึ่งจะเห็นว่ามีกลไกที่ต่างจากการส่งข้อมูลด้วยโปรโตคอล TCP ซึ่งจะต้องมีการติดต่อกันก่อน และทั้งสองฝ่ายรับทราบการรับส่งข้อมูลของช่องการส่งข้อมูลนั้น

    Internetwork layerในระดับล่างต่อมาในชั้น Internetwork layer มีหน้าที่ส่งผ่านข้อมูลในระหว่างเครือข่าย โดยมีโปรโตคอลที่ทำงานเป็นกลไกสำคัญในการส่งผ่านข้อมูลไปยังเครือข่ายใดๆ บนอินเตอร์เน็ต คือ โปรโตคอล IP (Internet Protocol) นอกจากนี้ในชั้น Internetwork layer ยังมีโปรโตคอลทำงานอยู่ด้วยอีก 2 ชนิดคือ โปรโตคอล Internet Control Message Protocol (ICMP) และโปรโตคอล Address Resolution Protocol (ARP)

    โปรโตคอล IPโปรโตคอล IP ทำหน้าที่ให้บริการส่งผ่านข้อมูลที่มาจาก Host-to-Host layer เพื่อส่งข้ามไปยังเครือข่ายใดๆ ได้อย่างถูกต้อง แม้ว่าจะมีเครือข่ายเชื่อมต่อกันอยู่ในอินเตอร์เน็ตเป็นล้านเครือข่ายก็ตาม เนื่องจากโปรโตคอล IP มีข้อมูลตำแหน่ง IP ปลายทางที่จะส่งข้อมูลไปให้ โดยทำงานร่วมกับอุปกรณ์ Router เพื่อส่งข้อมูลข้ามเครือข่ายออออกไปได้ ตัวโปรโตคอล IP จะทำงานแบบ packet switching คือมีการส่งข้อมูลผ่านสวิทซ์(switch)ไปยังปลายทาง โดยข้อมูลจะเดินทางไปยังเครือข่ายต่างๆผ่านสวิทซ์นี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึง ปลายทาง ตัววงจรผ่านหรือ switch นี้อาจจะเป็น Gateway หรือ Router ในระบบเครือข่ายก็ได้ ซึ่งในข้อมูลของโปรโตคอล IP จะมีข้อมูลของหมายเลข IP ปลายทางที่จะส่งข้อมูลไปและเมื่อถึงเครือข่ายปลายทางแล้ว จะมีกลไกแปลงหมายเลข IP ให้เป็นหมายเลขฮาร์ดแวร์ประจำเครื่องที่ถูกต้องอีกทีหนึ่งด้วยโปรโตคอล ARP ตามรูปด้านล่างนี้ จะแสดงการติดต่อกันระหว่างโปรโตคอลในชั้นของ Host-to-Host layer และ Internetwork layer

    โปรโตคอล ICMPหน้าที่หลักของโปรโตคอล ICMP (Internet Control Message Protocol) คือ การแจ้งหรือแสดงข้อความจากระบบ เพื่อบอกให้ผู้ใช้ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในการส่งผ่านข้อมูลนั้น ซึ่งปัญหาส่วนมากที่พบคือส่งออกไปไม่ได้ หรือปลายทางรับข้อมูลไม่ได้ เป็นต้น นอกจากนี้โปรโตคอล ICMP ยังถูกเรียกใช้งานได้จากเครื่องเซิร์ฟเวอร์และ Router อีกด้วย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ใช้ควบคุม ส่วนรูปแบบการทำงานของโปรโตคอล ICMP นั้นจะทำงานควบคู่กับโปรโคคอล IP ในระดับเดียวกัน และข้อความต่างๆที่แจ้งให้ทราบจะถูกผนึกอยู่ภายในข้อมูล IP (IP datagram)อีกทีหนึ่ง
    โปรโตคอล ARPโปรโตคอล ARP (Address Resolution Protocol) ถูกเรียกใช้งานโดยโปรโตคอล IP เพื่อช่วยแปลงหมายเลข IP ไปเป็นหมายเลขฮาร์ดแวร์ปลายทาง ตัวอย่างเช่น เว็บเซิร์ฟเวอร์เครื่องหนึ่งเชื่อมต่ออยู่ในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต และในการเชื่อมต่อนี้ต้องอาศัย Network Interface Card (NIC) หรือ LAN Card ติดตั้งอยู่ ที่ Lan card นี้เองจะมีหมายเลขเฉพาะประจำฮาร์ดแวร์ที่ไม่ซ้ำใคร เพื่อใช้ในการอ้างอิงการส่งข้อมูลในเครือข่าย แต่เมื่อมาใช้ในโปรโตคอล TCP/IP ก็จะต้องมีการกำหนดหมายเลข ip address ประจำตัวเพื่อใช้อ้างอิงกัน และโปรโตคอล ARP จะทำหน้าที่แปลงค่าหมายเลข IP ให้เป็นหมายเลขฮาร์ดแวร์จริงให้ในระดับการทำงานที่ Internet layer นี้ซึ่งกลไกการแปลงเรียกว่า Address resolution

    Network Interface layerเนื่องจากในด้านกายภาพของเครือข่ายนั้น มีหลายวิธีการและหลายรูปแบบในการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย แต่อย่างไรก็ตามในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนี้ ข้อมูลหรือ IP Datagram จะถูกถ่ายทอดและส่งผ่านไปยังปลายทางโดยไม่คำนึงถึงรูปแบบการเชื่อมต่อทาง กายภาพ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครือข่ายใยแก้วนำแสงหรือเครือข่ายสาย Unshielded Twist pair (UTP) เชื่อมต่อเป็นแบบเครือข่าย Ethernet ธรรมดาหรือเครือข่าย Token Ring, ATM, ISDN ฯลฯ ก็ตามการทำงานระดับล่างสุดต่อจาก Internetwork layer จะเป็นการแปลงข้อมูล IP datagram ให้อยู๋ในรูปที่เหมาะสม และแปลงสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยังเครือข่ายต่อไป ซึ่งในชั้น Network Interface Layer นี้เทียบกับมาตรฐาน OSI Model แล้วจะเป็นการรวมเลเยอร์ 2 เลเยอร์เข้าด้วยกันคือ Datalink layer และ Physical layer กล่าวโดยสรุปคือ การทำงานตามโครงสร้างของโปรโตคอล TCP/IP จะมีลักษณะดังรูปด้านล่างนี้ตารางสรุปหมายเลขบางส่วนของ Port ที่ใช้งานโดย TCP และ UDP


    โปรโตคอลที่ใช้งานPort หรือ Socket เชื่อมต่อ (เลขฐาน10)โปรโตคอลในระดับ Host-to-Hostรายละเอียด
    BootP67UDPBOOTstrap Protocol ด้านเซิร์ฟเวอร์
    BootP68UDPBOOTstrap Protocol ด้านไคลเอนต์
    DHCP67UDPDynamic Host Configuration Protocol ด้านเซิร์ฟเวอร์
    DHCP68UDPDynamic Host Configuration Protocol ด้านไคลเอนต์
    DNS53UDP/TCPDomain Name System
    FTP21TCPFile Transfer Protocol ด้านเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุม
    FTP20TCPFile Transfer Protocol ด้านเซิร์ฟเวอร์ที่ส่งข้อมูล
    HTTP80TCP/UDPHyper Text Transfer Protocol ด้านเซิร์ฟเวอร์
    NetBT138UDPNetBIOS datagram service
    NetBT139TCPNetBIOS session service
    SNMP161UDPSimple Network Management Protocol ด้าน agent
    SNMP162UDPSNMP trap manager
    Telnet23TCPTeletype Network Protocol
    TFTP69UDPTrivial File Transfer Protocol
    WINS137UDPWindows Internet Name Service


    การทำงานของ TCP/IP

    กล่าวสรุปคือ โปรโตคอล TCP/IP ทำงานโดยแบ่งชั้นเทียบกับ OSI Model ได้ กลไกในการทำงานของโปรโตคอล TCP/IP มี 4 ชั้น ซึ่งในชั้นแรก คือ Process layer ทำหน้าที่ติดต่อกับแอพพลิเคชันและโปรโตคอลที่แอพพลีเคชันนั้นๆใช้งาน และส่งต่อมาให้ชั้น Host-to-Host layer เพื่อติดต่อกันระหว่างเครื่องเซิร์ฟเวอร์ให้บริการกับเครื่องผู้ขอใช้บริการ ในชั้นนี้จะมีการสร้าง session หรือการเชื่อมต่อระหว่างระบบขั้นตามแต่ละโปรโตคอลที่ต้องการ ต่อมาเป็นการผนึกข้อมูลไปเป็น IP datagram ที่ชั้น Internetwork layer โดยอาศัยโปรโตคอล IP เพื่อให้สามารถติดต่อส่งข้อมูลข้ามเครือข่ายไปยังเครือข่ายและเครื่องที่ถูก ต้องได้ และสุดท้ายการส่งข้อมูลออกสู่โลกภายนอกต้องอาศัยกลไกในชั้น Network Interface Layer โดยอาศัยโปรโตคอล IP เพื่อให้สามารถติดต่อส่งข้อมูลออกสู่โลกภายนอกต้องอาศัยกลไกในชั้น Network Interface layer เพื่อแปลงข้อมูลใหม่ เพิ่มข้อมูลที่จำเป็นในการอ้างอิงตำแหน่งและแปลงข้อมูลเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่ง ออกไปยังเครือข่าย และอาจจะออกไปยัง Gateway หรือ Router เพื่อข้ามเครือข่ายออกไปยังเส้นทางที่กำหนดไว้ในอินเตอร์เน็ตต่อไป
    ที่มา http://pairote-pairote.blogspot.com/2012/03/tcpip-ftp-http-ip-client-server-dns.html
    link::::::http://www.youtube.com/watch?v=gJ5h4_0mllI

    วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557


    การคำนวนหา ROI

    เพราะธุรกิจไม่ใช่องค์กรการกุศลทุกๆการลงทุนจึงหวังผลตอบแทนเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งการลงทุนในแต่ละครั้งนั้นเรื่องของความคุ้มค่าในเม็ดเงินที่ลงขันถือเป็นหัวข้อสำคัญที่จะถูกนำมาหยิบยกพิจารณาเป็นอันดับแรกในการประชุม ซึ่งหากเป็นในอดีตการที่จะหาผลลัพธ์ของการลงทุนถือเป็นเรื่องที่ยากมากเพราะปัจจัยพื้นฐานที่ใช้ในการคำนวณยังไม่เอื้ออำนวยเท่าที่ควร แถมทฤษฎีการแทนค่าตัวแปรต่างๆยังคลาดเคลื่อนอีกด้วย ทำให้การลงทุนในสมัยก่อนใช้วิธีการ “ไปตายเอาดาบหน้า” เป็นหลัก จึงมักจะสร้างผลเสียและทำให้การทำธุรกิจประสบกับความล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่
    แต่ในปัจจุบันนักเศรษฐศาสตร์ได้คิดค้นวิธีการคำนวณหาค่าการตอบแทนจากการลงทุนหรือที่เรียกกันว่า ROI (Return on Investmen) ซึ่งให้ค่าการประเมินตรวจสอบที่มีความเที่ยงตรงและทรงประสิทธิภาพมาก โดยมีวิธีการดังต่อไปนี้

    สิ่งแรกที่ผู้ประกอบการต้องทำก็คือจะต้องหาต้นทุนทั้งหมดของโครงการทางธุรกิจที่คุณมีแผนจะดำเนินงานในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าบรรจุภัณฑ์ ฯลฯ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น ผู้ประกอบการมีแผนจะดำเนินการขายน้ำส้มคั้นบรรจุขวดจำนวน 100 ขวด ผู้ประกอบการจะต้องรวบรวมต้นทุนทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่าส้ม ค่าขวด ค่าอุปกรณ์ ค่าแรงงาน สมมติว่าค่าต้นทุนตกอยู่ที่ประมาณขวดละ 12 บาท ต้นทุนสุทธิในการทำธุรกิจจะเกิดขึ้นโดยทันทีและจะมีสนนราคาอยู่ที่ 1,200 บาท (100 x 12)

    หลังจากได้ต้นทุนทางธุรกิจมาแล้วสิ่งสำคัญลำดับต่อมาที่ผู้ประกอบการจะต้องทำก็คือ การประเมินและคำนวณหารายรับรวมถึงผลกำไรจากการทำธุรกิจที่คุณคาดหวังจะได้รับ ในที่นี้คุณจะต้องกำหนดราคาและปริมาณยอดจำหน่ายเป้าหมายที่ต้องการเอาไว้ล่วงหน้าด้วย โดยใช้การคำนวณจากปัจจัยพื้นฐานในเรื่องต่างๆทางธุรกิจเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนมากที่สุด เช่น คุณกำหนดราคาขายของน้ำส้มคั้นไว้ที่ขวดละ 20 บาท และวางเป้าการจำหน่ายให้ได้ครบทั้ง 100 ขวด เท่ากับว่าคุณจะมีรายรับทั้งสิ้น 2,000 บาท โดยหลังหักค่าใช้จ่ายจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 800 บาท ต่อการลงทุนในครั้งนี้ อนึ่งผู้ประกอบการสามารถตั้งราคาและกำหนดยอดจำหน่ายให้น้อยลงกว่านี้ก็ได้ แต่นั่นจะไม่ตรงกับวัตถุประสงค์หลักในการทำธุรกิจที่วางเป้าจำหน่ายไว้น้อยกว่าเป้าการผลิต ที่ควรจะเป็นนั่นเอง

    Untitled-1 copy_1.jpg 
    เมื่อได้ปัจจัยทั้งในส่วนของต้นทุนและรายรับมาแล้วก็มาถึงวิธีการคำนวณเพื่อหาค่าตอบแทนจากการลงทุน โดยให้ผู้ประกอบการนำปัจจัยทั้ง 2 ส่วนที่ได้มาแทนค่าด้วยหลักสมการด้านบน คือ ให้นำรายรับมาลบด้วยต้นทุนได้ผลลัพธ์เท่าไหร่ให้นำมาหารด้วยต้นทุนอีกหนึ่งครั้งแล้วนำไปคูณด้วย 100 อาทิ จากตัวอย่างธุรกิจน้ำส้มคั้นที่หากจำหน่ายได้ยอดครบทั้ง 100 ขวด จะมีรายรับอยู่ที่ 2,000 บาท และมีต้นทุนผลิตภัณฑ์อยู่ที่ 1,200 บาท (ต้นทุนขวดละ 12 บาท) เมื่อนำมาแทนค่าตามสมการจะได้
    2,000 – 1,200 = 800 บาท
    แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้ไปหารด้วยต้นทุนอีกหนึ่งครั้ง
    800 / 1,200 = 0.66
    จากนั้นนำผลลัพธ์ในขั้นตอนนี้ไปคูณด้วย 100 อีกหนึ่งครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้ในขั้นตอนสุดท้ายก็คือเปอร์เซ็นต์เฉลี่ยค่าตอบแทนจากการลงทุนหรือที่เรียกว่า ROI นั่นเอง
    0.66 x100 = 66 %
    จะเห็นได้ว่าเปอร์เซ็นต์ค่าเฉลี่ยจากการคำนวณค่าการตอบแทนจากการลงทุนทำธุรกิจน้ำส้มคั้นมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 66% เท่านั้น ซึ่งถึงแม้ตัวเลขที่ได้จะมีค่าที่สูงกว่าครึ่งแต่ในทางธุรกิจแล้วค่าเฉลี่ยที่ได้นี้ถือว่ามีเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมากเกินไป เพราะค่า ROI ควรจะต้องมีค่าสูงนับตั้งแต่ 100% ขึ้นไปถึงจะถือว่ามีความคุ้มค่าต่อการน่าลงทุน โดยทางแก้มีอยู่ 2 วิธีเท่านั้น คือ ต้องลดค่าต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงอีก หรือ ไม่งั้นก็เพิ่มรายรับให้เพิ่มสูงขึ้นด้วยวิธีการเพิ่มราคาจำหน่ายให้สูงขึ้น จึงจะเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ถูกจุดและสามารถเพิ่มค่า ROI ให้เพิ่มสูงขึ้นได้
    ทุกๆการลงทุนมีความเสี่ยงและความเสี่ยงที่ว่านี้ก็ถือเป็นของแสลงทางธุรกิจที่ผู้ประกอบการควรจะต้องหลีกหนีให้ไกลที่สุด เพราะความเสี่ยงเป็นอะไรที่ไม่มีความแน่นอนและอาจสร้างความช้ำใจให้กับผู้ประกอบการในภายหลังได้ ดังนั้นก่อนที่คุณจะนำไอเดียอันบรรเจิดมาดัดแปลงเป็นธุรกิจบนโลกของความเป็นจริง ขอให้นำ้การคำนวณ ROI มาเป็นปัจจัยหนึ่งในการประกอบการตัดสินใจด้วยเพื่อลดความเสี่ยงของกิจการ
    ที่มา http://incquity.com/articles/money-talk/roi-calculation
    Balanced Scorecard
     Balanced Scorecard คืออะไร
    Balanced Scorecard เป็นกลยุทธ์ในการบริหารงานสมัยใหม่ และได้รับความนิยมไปทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย Balanced Scorecard ได้ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อปี 1990 โดย Drs. Robert Kaplan จาก Harvard Business School และ David Norton จาก Balanced Scorecard Collaborative โดยตั้งชื่อระบบนี้ว่า “Balanced Scorecard” เพื่อที่ผู้บริหารขององค์กรจะได้รับรู้ถึงจุดอ่อน และความไม่ชัดเจนของการบริหารงานที่ผ่านมา balanced scorecard จะช่วยในการกำหนดกลยุทธ์ในการจัดการองค์กรได้ชัดเจน โดยดูจากผลของการวัดค่าได้จากทุกมุมมอง เพื่อให้เกิดดุลยภาพในทุก ๆ ด้าน มากกว่าที่จะใช้มุมมองด้านการเงินเพียงด้านเดียว อย่างที่องค์กรธุรกิจส่วนใหญ่คำนึงถึง เช่น รายได้ กำไร ผลตอบแทนจากเงินปันผล และราคาหุ้นในตลาด เป็นต้น การนำ balanced scorecard มาใช้ จะทำให้ผู้บริหารมองเห็นภาพขององค์กรชัดเจนยิ่งขึ้น
    Balanced Scorecard คือระบบการบริหารงานและประเมินผลทั่วทั้งองค์กร และไม่ใช่เฉพาะเป็นระบบการวัดผลเพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นการกำหนดวิสัยทัศน์ (vision) และแผนกลยุทธ์ (strategic plan) แล้วแปลผลลงไปสู่ทุกจุดขององค์กรเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานของแต่ละฝ่ายงานและแต่ละคน โดยระบบของ Balanced Scorecard จะเป็นการจัดหาแนวทางแก้ไขและปรับปรุงการดำเนินงาน โดยพิจารณาจากผลที่เกิดขึ้นของกระบวนการทำงานภายในองค์กร และผลกระทบจากลูกค้าภายนอกองค์กร มานำมาปรับปรุงสร้างกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพดีและประสิทธิผลดียิ่งขึ้น เมื่อองค์กรได้ปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบ Balanced Scorecard เต็มระบบแล้ว Balanced Scorecard จะช่วยปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์ขององค์กรจากระบบ “การทำงานตามคำสั่งหรือสิ่งที่ได้เรียนรู้สืบทอดกันมา (academic exercise)” ไปสู่ระบบ “การร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวขององค์กร (nerve center of an enterprise)
    Kaplan และ Norton ได้อธิบายถึงระบบ Balanced Scorecard ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่นี้ ดังนี้
    “Balanced Scorecard จะยังคงคำนึงถึงมุมมองของการวัดผลทางการเงิน (financial measures) อยู่เหมือนเดิม แต่ผลลัพธ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นจะบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับองค์กรในช่วงที่ผ่านมา บอกถึงเรื่องราวของความสามารถกับอายุของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ แต่มันไม่ได้บอกถึงความสำเร็จขององค์กร ที่จะมีต่อผู้ลงทุนที่จะมาลงทุนระยะยาวโดยการซื้อหุ้นของบริษัท และความสัมพันธ์ของลูกค้า (customer relationships) แต่อย่างใด จะเห็นได้ว่าเพียงการวัดผลทางการเงินด้านเดียวไม่เพียงพอ แต่อย่างไรก็ตามมันก็ใช้เป็นแนวทางและการตีค่าของผลการประกอบการขององค์กร ใช้เป็นข้อมูลที่จะเพิ่มมูลค่าขององค์กรในอนาคตและสร้างแนวทางสำหรับ ลูกค้า (customers), ผู้ขายวัตถุดิบหรือสินค้า (suppliers), ลูกจ้าง (employees), การปฏิบัติงาน (processes), เทคโนโลยี (technology), และ การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ
    Balance Scorecard จะทำให้เราได้เห็นภาพขององค์กรใน 4 มุมมอง และนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือวัดผล โดยวิธีการรวบรวมข้อมูลและนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ มุมมองทั้ง 4 ดังกล่าว ประกอบด้วย
    1.       The Learning and Growth Perspective เป็นมุมมองด้านการเรียนรู้และการเติบโต เช่น การพัฒนาความรู้ความสามารถของพนักงาน, ความพึงพอใจของพนักงาน, การพัฒนาระบอำนวยความสะดวกในการทำงาน เป็นต้น
    2.       The Business Process Perspective เป็นมุมมองด้านกระบวนการทำงานภายในองค์กรเอง เช่น การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ, การจัดโครงสร้างองค์กรที่มีประสิทธิภาพ, การประสานงานภายในองค์กร, การจัดการด้านสายงานผลิตที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น
    3.       The Customer Perspective เป็นมุมมองด้านลูกค้า เช่น ความพึงพอของลูกค้า, ภาพลักษณ์, กระบวนการด้านการตลาด, การจัดการด้านลูกค้าสัมพันธ์ เป็นต้น
    4.       The Financial Perspective เป็นมุมมองด้านการเงิน เช่น การเพิ่มรายได้, ประสิทธิภาพในการผลิตที่มีต้นทุนต่ำและมีการสูญเสียระหว่างผลิตน้อย, การหาแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำ เป็นต้น 
    Balance Scorecard (BSC) นั้นได้รับการพัฒนามาโดยตลอด ทำให้ภาพของ BSC จากเพียงเครื่องมือที่ถูกใช้เพื่อวัดและประเมินผลองค์กร ไปสู่การเป็นเครื่องมือเชิงระบบสำหรับการวางแผนและบริหารยุทธศาสตร์ (Strategic Planning) โดยผู้พัฒนาเครื่องมือนี้ (Norton และ Kaplan) ยืนยันหนักแน่นว่า ความสมดุล (Balance) ในการพัฒนาองค์กรนั้น สามารถวัด และประเมินได้จากการมองผ่านมุมมองของระบบการวัดและประเมินผลใน 4 ด้านหลัก คือ
    1. มุมมองด้านการเงิน (Financial Perspective; F)
    2. มุมมองด้านลูกค้า (Customer Perspective; C)
    3. มุมมองด้านการดำเนินการภายใน (Internal Perspective; I)
    4. มุมมองด้านการเรียนรู้และพัฒนาการ (Learning and Growth; L)
    ดังนั้น BSC จึงเป็นเสมือนเครื่องมือหรือกลไกในการวางแผนและบริหารกลยุทธ์ที่มีการกำหนดมุมมองทั้ง 4 ด้าน เพื่อให้เกิดความสมดุลในการพัฒนาองค์กร จนบรรลุแผนกลยุทธ์ที่ได้วางไว้ในที่สุด

    คำว่าสมดุล (Balance) ใน BSC หมายถึงอะไร
    ด้วยเหตุที่หลายครั้งผู้พัฒนาและติดตั้ง BSC ในแต่ละองค์กรนั้น มุ่งแต่จะพยายามเติมเต็มมุมมองการพัฒนาทั้ง 4 ด้าน (C-L-I-F) เท่านั้น โดยละเลยประเด็นที่ว่า แม้ว่าจะทำให้ทั้ง4 มุมมองนั้นครบถ้วน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความสมดุลตามความมุ่งหมายของ BSC จะเกิดขึ้นได้     ความสมดุลนี้พึงต้องระลึกไว้อยู่เสมอในขณะพัฒนาและติดตั้ง BSC ว่าความสมดุลตามความมุ่งมาดคาดหมายของ BSC คือ ความสมดุล (Balance) ระหว่าง
    • จุดมุ่งหมาย (Objective) : ระยะสั้นและระยะยาว (Short - and Long - Term)
    • การวัดผล (Measure) : ทางด้านการเงินและไม่ใช่การเงิน (Financial and Non-Financial)
    • ดัชนีชี้วัด (Indicator) : เพื่อการติดตามและการผลักดัน (lagging and Leading)
    • มุมมอง (Perspective) : ภายในและภายนอก (Internal and External)
    ซึ่งแน่นอนว่า หาก BSC ที่ทำการพัฒนาขึ้นและใช้ในองค์กร ไม่ได้พยายามทำให้เกิดความสมดุลดังกล่าวข้างต้น ก็ย่อมคาดหวังผลประโยชน์จากการทำ BSC ไม่ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

    แผนที่กลยุทธ์(Strategy Map) และ BSC

    สิ่งที่คนในองค์กรจะเข้าใจเป้าหมายขององค์กรได้ง่าย ก็คือการ สร้าง map หรือ road map ที่แสดงเป็นขั้นตอนหรือเส้นทางที่จะดำเนินงาน  ซึ่งแผนการดำเนินงานขององค์กรภาวะที่มีข้อจำกัดและมีการแข่งขัน จึงต้องเป้นแผนที่กลยุทธ์ หรือแผนยุทธศาสตร์  การจัดทำแผนยุทธศาสตร์บนพื้นฐานของมุมมองทั้ง 4 และความสมดุลทั้ง 4 BSC ยังให้ความสำคัญต่อความเชื่อมโยงมุมมอง (Perspective) โดยนำเสนอใน 2 รูปแบบคือ
      แบบความสัมพันธ์ (Relation)
      แบบลำดับความสำคัญ (Priority) 
    ทำไมองค์กรจึงจำเป็นต้องมีการนำ Balanced Scorecard มาใช้
    จากผลการสำรวจบริษัทในประเทศสหรัฐฯ ของ CFO Magazine เมื่อปี 1990 พบว่า มีเพียง 10% เท่านั้นที่องค์กรประสบความสำเร็จด้านการใช้แผนกลยุทธ์ ทั้งนี้องค์กรส่วนใหญ่พบว่ามีปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญ ดังนี้
    1.       The Vision Barrier (อุปสรรคด้านวิสัยทัศน์) มีพนักงานที่เข้าใจถึงแผนกลยุทธ์ขององค์กรที่ตนเองทำงานอยู่เพียง 5%
    2.       The People Barrier (อุปสรรคด้านบุคลากร) พบว่ามีพนักงานระดับผู้จัดการเพียง 25% ที่ให้ความสำคัญและบริหารงานตามแผนกลยุทธ์
    3.       The Resource Barrier (อุปสรรคด้านทรัพยากร) พบว่ามีจำนวนองค์กรถึง 60% ที่ไม่ได้บริหารงบประมาณให้เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ที่กำหนดไว้
    4.       The Management Barrier (อุปสรรคด้านการจัดการ) มีผู้บริหารองค์กรมากถึง 85% ที่ให้เวลาในการประชุมสนทนาในเรื่องแผนกลยุทธ์น้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อเดือน

    จากอุปสรรคข้างต้น เกิดจากบุคลากรในทุกระดับไม่เข้าใจ หรือมองเห็นภาพของแผนกลยุทธ์ขององค์กร ดังนั้นการทำงานจึงไม่สอดคล้องกับแผน ซึ่งในส่วนนี้เองที่ BSC จะช่วยให้ผู้บริหารได้มองเห็นภาพและเส้นทางที่กำหนดไว้ในแผนได้ชัดเจน บุคลากรทุกคนสามารถรับรู้ถึงกิจกรรมที่ตนเองจะต้องทำให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ส่วนระยะการพัฒนารูปแบบของ Balanced Scorecard สำหรับแต่ละองค์กร ขึ้นอยู่กับขนาดขององค์กร แต่โดยทั่ว ๆ ไป ถ้าองค์กรนั้นมีการเขียนแผนธุรกิจอยู่เดิมแล้ว ก็อาจจะใช้เวลาประมาณ 2 ถึง 6 เดือน
    ประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับจากการใช้ Balanced Scorecard 
      • ช่วยให้มองเห็นวิสัยทัศน์ขององค์กรได้ชัดเจน
      • ได้รับการความเห็นชอบและยอมรับจากผู้บริหารทุกระดับ ทำให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติงานได้สอดคล้องกันตามแผน
      • ใช้เป็นกรอบในการกำหนดแนวทางการทำงานทั่วทั้งองค์กร
      • ช่วยให้มีการจัดแบ่งงบประมาณและทรัพยากรต่าง ๆ สำหรับแต่ละกิจกรรมได้อย่างเหมาะสม
      •  เป็นการรวมแผนกลยุทธ์ของทุกหน่วยงานเข้ามาไว้ด้วยกัน ด้วยแผนธุรกิจขององค์กร ทำให้แผนกลยุทธ์ทั้งหมดมีความสอดคล้องกัน
      • สามารถวัดผลได้ทั้งลักษณะเป็นทีมและตัวบุคคล
     ที่มา http://www.gotoknow.org/posts/317967
    ภาพจาก วิกิพีเดีย

    Computer-aided software engineering

    CASE Tool

              CASE Tool (Computer-Aided Software Engineering) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์และออกแบบระบบ ซึ่งมีความสามารถหลัก ๆ คือ ช่วยนักวิเคราะห์ระบบ (systems analysts: SA) ในการวิเคราะห์และออกแบบระบบข้อมูล ข่าวสารต่าง ๆ โดยการใช้ซอฟต์แวร์ที่ช่วยสร้างแผนภาพ รายงาน โค้ดโปรแกรม ในระหว่างการวิเคราะห์และออกแบบระบบให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นโปรแกรมประยุกต์หรือเป็นซอฟต์แวร์ชนิดหนึ่งของเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ช่วยในการพัฒนาระบบ คอยสนับสนุนการทำงานในแต่ละขั้นตอนของการพัฒนา ด้วยการเตรียมฟังก์ชั่นการทำงานต่าง ๆ ที่ทำให้การทำงานแต่ละขั้นตอนมีความรวดเร็วและมีคุณภาพมากขึ้น
              CASE Tool จะช่วยแบ่งเบาภาระของนักวิเคราะห์ระบบได้มาก ตั้งแต่การช่วยสร้าง Context Diagram, Flowchart, E-R diagram สร้างรายงานและแบบฟอร์ม ตลอดจนการสร้างโค้ดโปรแกรม (Source Code) ให้อัตโนมัติอีกด้วย

              ขอบข่ายของเครื่องมือสนับสนุนการพัฒนาระบบ (CASE Tool framework) CASE
    ที่ใช้ในการพัฒนาระบบถูกแบ่งขอบข่ายการทำงานออกเป็น 2 ช่วง โดยการแบ่งนั้นอ้างอิงจากขั้นตอนการพัฒนาระบบในวงจร SDLC ซึ่งมีดังต่อไปนี้
              Upper-CASE เป็นเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการทำงานในขั้นตอนต้น ๆ ของการพัฒนาระบบ ได้แก่ ขั้นตอนการวางแผน ขั้นตอนการวิเคราะห์ และขั้นตอนการออกแบบระบบ
              Lower-CASEเป็นเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการทำงานในขั้นตอนสุกดท้ายในการพัฒนาระบบ ได้แก่ ขั้นตอนการออกแบบ ขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบระบบ และขั้นตอนการให้บริการหลังการติดตั้งระบบ
              จะเห็นว่า CASE ทั้งสองระดับนี้ มีการำงานที่ซ้ำซ้อนกันอยู่ บางครั้งองค์กรอาจเลือกใช้งาน CASE Tools ทั้ง 2 ระดับร่วมกันได้

    ตัวอย่างของ Software CASE Tools
    1. Rational Rose : ใช้สำหรับวาด UML Design for OO(Object Oriented) และ generate code
    2. Visible Analyst: ใช้สำหรับวาด Context Diagram และ Data flow diagram
    3. Visual Studio : ทำออกแบบและสร้าง web
    4. Oracle Enterprise Development Suite
    5. Paradigm Plus
    6. Logic Works Suite
    7. AxiomSys and AxiomDsn
    8. V32 & X32

    รูปแสดงตัวอย่างของ CASE Tools